เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๒ ธ.ค. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ตั้งใจฟังธรรมะ ธรรมะสัจธรรม สัจจะ อริยสัจจะ เวลาพระพุทธศาสนาสอน สอนเรื่องง่ายๆ เลย ละชั่วทำดี ละชั่วทำดี ละชั่วทำดี แต่ไอ้ชั่วกับดีคนแยกไม่ถูก แยกไม่ได้ว่าอะไรมันชั่วอะไรมันดี

ถ้าความดีๆ ทุกคนปรารถนาความดีใช่ไหม ถ้าสิ่งที่มันดีกว่า เราควรทำความดีอย่างนั้น ถ้าความชั่วเราไม่ควรทำ ถ้าความชั่ว ความชั่วคือเราไม่พอใจ เขาก็ไม่พอใจ ถ้าเราปรารถนาสิ่งใด เราต้องการต้องการสิ่งใด คนอื่นก็ปรารถนาต้องการเหมือนเราทั้งสิ้น แต่มันเป็นเรื่องสังคมไง

ถ้าเรื่องสังคม คนมีมากมีน้อยขึ้นมา เราเสียสละต่อกัน การเสียสละต่อกัน หัวใจที่สูงที่ต่ำ ถ้าหัวใจที่สูงกว่ารู้จักเสียสละมา ดูสิ ความรักของพ่อแม่เป็นความรักที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่หวังสิ่งใดๆ ตอบแทนทั้งสิ้น นี่ความรักของพ่อของแม่ไง

ถ้าพ่อแม่ พ่อแม่รักลูกมาก รักลูกมาก อยากให้ลูกประสบความสำเร็จในชีวิต ขอให้ลูกเรามีที่ยืนในสังคมเท่านั้น เราพอใจ เป็นความพอใจนะ แล้วลูกของเราถ้าประสบความสำเร็จแล้ว พ่อแม่มีความสุขมากๆ

เวลาครูเขาสอนนักเรียน เรือจ้าง เรือจ้างพาเด็กข้ามฝั่ง เรือจ้างนะ อาชีพครูอาชีพเรือจ้าง อบรมสั่งสอนเด็กให้เด็กมีสติปัญญา มีความรู้ เพื่อเขาประกอบสัมมาอาชีวะของเขาได้

เรา ถ้าเรือจ้างพาเด็กข้ามฝั่งได้ ครูจะมีความภูมิใจมาก จะมีความสุขมาก แล้วจรรยาบรรณของครูไง

สมัยโบราณเรา เด็กๆ เวลาครูไปเยี่ยมที่บ้าน ไปดูเด็กมันขาดแคลนสิ่งใด เขาจะดูแลของเขา นี่ความปรารถนาดีของครู เดี๋ยวนี้เป็นอาจารย์ อาจารย์ จานกระเบื้อง จานสังกะสี จานที่แตกร้าว จานที่ไม่เป็นประโยชน์ ครูจานๆ ไง

แต่เวลาอาชีพครูไง ถ้าอาชีพครูนะ เขามีเมตตาธรรมของเขา มีจรรยาบรรณของเขา เขาเป็นพ่อเป็นแม่คนที่ ๒ เขารักลูกศิษย์ของเขา ถ้ารักลูกศิษย์ของเขา เขาพยายามส่งเสียพาข้ามฝั่งไปให้ได้ แล้วอบรมสั่งสอนนะ

เด็กคนไหนไม่ดี ธรรมดาของเด็ก เด็กมันก็ต้องมีคนที่ดีงาม คนปานกลาง คนที่ดื้อ เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาของเด็กไง มันยังไม่ส่อแววหรอก เวลามันโตขึ้นมา เวลาคนโตขึ้นมาแล้ว คนปรารถนาความสุขทั้งสิ้น

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง เวลาปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ เราก็คิดว่าเราต้องเอาเรือมารับ เอาเรือมาพ่วงไปไง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญาไง

ศีลธรรมๆ เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครอง ธรรมะย่อมคุ้มครอง คุ้มครองใคร คุ้มครองคนที่ทำคุณงามความดีน่ะ คุ้มครองคนที่มีศีลมีธรรมน่ะ

คนที่มีศีลมีธรรมนะ มันร่ำลือ คนนั้นเป็นคนดีนะ เฮ้ย! ลูกคนนั้นพ่อแม่มันดีว่ะ เห็นไหม ความดีงามมันคุ้มครองดูแลลูกของเราเลยนะ ลูกของเรา ถ้าเราเป็นคนดี พ่อแม่ทำความดีๆ มันมีผลส่งไปต่อลูกไง

เวลาเขาเสียดสีกัน ถ้าเด็กมันเก๊ พ่อแม่ไม่สั่งสอน เจ็บ

สั่งสอน แต่มันไม่ฟัง พ่อแม่ก็สั่งสอนไง

นี่พูดถึงทางโลก ทางโลกผลของวัฏฏะๆ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ทุกคนอยากจะได้ลูกสมบูรณ์แบบทั้งสิ้น แต่คนเรามีเวรมีกรรมทั้งสิ้น เวลากรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

เวลาทำความชั่วต่างๆ ที่เราเบียดเบียนใครทั้งสิ้น เราบอกว่าเราฉลาด เรารู้ทันเขาทั้งสิ้น แต่เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันผลัดเปลี่ยนกันไง เวลามันผลัดเปลี่ยนกันมา มันเป็นลูกเป็นเต้าขึ้นมา มันแบมือขอ มันบีบคั้นน่ะ มันบีบคั้นที่หัวใจนะ

พ่อแม่ที่ขาดแคลนก็อยากจะให้ลูกเราเสมอหน้าเสมอตาสังคมเขา แต่ถ้าเราขาดแคลน เราจะทำอย่างไร พ่อแม่ที่ขาดแคลน พ่อแม่ที่ต้องกู้หนี้ยืมสินมา มันก็เป็นความทุกข์ความยากอันหนึ่งนะ แต่ก็ลูกของเรา เวลาลูกของเรา ลูกของเรามันมาจากไหนน่ะ

แต่ถ้ามันอุดมสมบูรณ์ มันเป็นไปได้นะ แล้วเวลาเด็กที่มันดีงาม ไม่เอาๆ แม่ไม่ต้อง ไม่เอา ไว้ให้หนูทำงานได้ หนูจะหาของหนูเอง

นี่ถ้าคนมันดี มันคิดได้ มันทำได้ แล้วมันมาจากไหนล่ะ

จริตนิสัย ความจริตนิสัยของคน จริตนิสัยของคนนะ ถ้าคนมันดีงาม มันดีงามมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ถ้าดีงามตั้งแต่เล็กแต่น้อยขึ้นมา เราก็อบรมบ่มเพาะขึ้นมาไง เราต้องการสังคมอย่างนี้ไง สังคมที่ดีงาม เห็นไหม นี่เวลาความดีความชั่วในสังคมทางโลก

แต่เวลาจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ เวลาปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ รื้อที่ไหน รื้อที่หัวใจของสัตว์โลกไง จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

เราเห็นกันแค่นี้แหละ เราเห็นกันแค่เกิดเป็นมนุษย์นี่แหละ แต่มนุษย์มันมาจากไหน ถ้ามนุษย์มาจากไหน นี่ไง เธอย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตนิสัย

ไอ้ย้ำคิดย้ำทำนั่นน่ะ ทำดีๆๆ พระโพธิสัตว์ทำแต่คุณงามความดี ย้ำคิดย้ำทำ ย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตเป็นนิสัย ไอ้คนที่มันจะเอาเปรียบเขา มันก็เอาเปรียบเขาจนเป็นจริตนิสัย

จริตนิสัยมันอยู่ที่ไหน

อยู่ที่พันธุกรรมของจิตนี้ไง อยู่ในหัวใจนี้ไง แล้วมันแสดงออกมาไง เวลามันมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันแสดงออกมาตามนั้นน่ะ ถ้ามันแสดงออกตามนั้นขึ้นมา เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ไง ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ จะมีบุญมีบาปมามากน้อยขนาดไหน ถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีความเชื่อของเรา นี่ก็บุญกุศลแล้ว ความเชื่อของเรานะ คนเรามันมีทางออกไง เวลาคนเราไม่มีทางออกนะ เวลามันไม่มีทางออก มันทุกข์มันยาก มันอัดอั้นตันใจของมันไง

แต่ถ้าเรามีทางออก เวลาเรามีความอัดอั้นตันใจขึ้นมานะ พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดแล้ว การครองเรือนนี้แสนยาก การครองเรือนคือครองหัวใจของเรา เราหัวใจดวงเดียว เราก็เอาใจเราไม่รอดอยู่แล้ว นี่เรายังมีคู่ครองขึ้นมาอีก พอคู่ครองขึ้นมา ใจเขาใจเราไง แล้วมีลูกมีหลานขึ้นมา อู้ฮู! การครองเรือน

การครองเรือนคือการบริหารหัวใจของคน ลูกของเรา เราพูดให้มันดีงาม พูดให้มันเชื่อฟัง โอ้โฮ! เราก็มีความสุขไง

การครองเรือนแสนยาก ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้าเปรียบนะ เปรียบเหมือนวิดทะเลทั้งทะเลเลย เอาปลาตัวเดียว

วิดทะเลทั้งทะเลเหนื่อยขนาดไหน ลงทุนขนาดไหน ได้ปลาตัวเดียว แล้วปลาตัวเล็กๆ ด้วย นี่อาชีพการครองเรือน แล้วทำไมเราต้องครองล่ะ เราก็ต้องครองเรือนของเราต่อไป เป็นสัญชาตญาณ เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ถ้ามนุษย์การครองเรือน กามคุณ ๕ กามคุณ ๕ ถ้าไม่ผิดศีลผิดธรรมลูกเมียของใคร กามคุณ ๕ เพราะมันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่หักห้ามไม่ได้ไง เวลาจะหักห้ามได้ เราถือพรหมจรรย์ พอถือพรหมจรรย์ มาบวชเป็นพระเป็นเจ้า เราถือพรหมจรรย์ ถือพรหมจรรย์มันยิ่งใหญ่กว่าไง

สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

ไอ้ที่ว่าเขาเสพกาม เขามีความสุขกันนั่นน่ะ ไอ้นั่นความสุขของโลกๆ ไง ความสุขที่เป็นเบ็ดไง มันเกี่ยวเหยื่อมาไง เกี่ยวปาก มับ! ดิ้นเข้าไปเถอะ ดิ้นเลย ดิ้น เบ็ดมันก็ดึงไง นี่มันเกี่ยวไป

กามคุณ ๕ มีคุณไง มีคุณ มีเหยื่ออยู่อันหนึ่ง มีเหยื่ออยู่ปลายเบ็ดไง งับ มับ! เสร็จเลย

พรหมจรรย์ ไม่ พรหมจรรย์เป็นตัวของเราเอง ตัวของเรา เราจะดีก็ดี เราจะชั่วก็ตัวของเราทั้งสิ้น ถ้าเรามีสติปัญญาไง ถ้ามีสติปัญญา ถ้ามีอำนาจวาสนานะ คนเราตั้งใจเริ่มต้นไฟไหม้ฟางไง เริ่มต้นก็ตั้งใจดี ตั้งใจดีก็พยายามจะประพฤติปฏิบัติ เวลาประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติก็จริตนิสัย ความเห็น ทัศนคติ แล้วมึงเอามาตีความหมายธรรมะได้อย่างไร

ความหมายธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสากล ธรรมะเป็นธรรมชาติ เป็นสัจธรรมที่โต้แย้งไม่ได้ แต่เอากิเลสไปโต้แย้งไง ไปปรับไปปรุง ของเราอย่างนี้ๆ ไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอก ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีลคือความปกติของใจ เรามีศีลมีธรรมขึ้นมา เราเป็นคนดีอยู่แล้ว คนดีก็คือดีของเราไง ดีเพราะหัวใจมันแค่นี้ไง แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ธรรมะอยู่ฟากตาย

เวลาหลวงตา ครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมากิเลสมันล่อมันหลอกนะ ต้องตาย ต้องตาย ต้องตาย

พอต้องตาย ท่านถามเลย อะไรตายก่อน ขอดู อะไรตายก่อน

เวลากิเลสมันพลิกมันแพลง ทุกคนกลัวตายทั้งสิ้น กลัวตาย กลัวพลัดพราก กลัวการจากกัน แล้วกิเลสมันตายไม่ชอบหรือ พลัดพรากจากกิเลสไม่ชอบหรือ กิเลสมันพลัดพรากจากเรามันของดีทั้งนั้นน่ะ แต่ทำใจไม่ได้ พอทำใจไม่ได้ นี่เวลาคิดก็คิดไป นี่ไง เลยเป็นธรรมชาติของกิเลสไง แล้วแต่กิเลสมันจะวิเคราะห์วิจัย มันจะบอกมันจะสอนนะ ถ้ากิเลสสอน เชื่อนะ เวลาธรรมะสอน มันดิ้นพราดๆๆ ไม่ยอมฟังเลย

ฉะนั้น ศีล สมาธิ ปัญญา จิตใจดีมากดีน้อยขนาดไหน ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าทำความสงบของใจเข้ามาได้ กิเลสมันโดนปราบปราม

พื้นที่ของเรามันรกชัฏ เราปรับพื้นฐาน ปรับให้มันสะอาดสะอ้าน แล้วเราจะมาทำหน้าที่การงานของเรา เห็นไหม คนเขาจะนวดข้าว เขาต้องทำลานข้าว ทำลานข้าวไว้เพื่อนวดข้าว นวดข้าวแล้วก็เก็บข้าวเข้ายุ้งของเขา

นี่หัวใจของเราก็เหมือนกัน จะดีจะชั่วอย่างไรเรื่องของเขา แล้วจะดีจะชั่วก็เรื่องของเราด้วย วันนี้คิดเสียดี๊ดีเลย วันนี้เป็นเทวดานะ พรุ่งนี้เป็นเปรต มะรืนเป็นเดรัจฉาน นี่ไง มนุสสเทโว มนุสสเปโต มนุษย์เปรต ร่างกายเป็นมนุษย์ แต่หัวใจเหมือนเปรต ถ้าเป็นสเทโว ร่างกายเป็นมนุษย์ แล้วหัวใจเป็นเทวดา หัวใจที่เป็นเทวดาเขารับผิดชอบสังคม

มันมีผู้ใหญ่ใจดีมากมาย เวลาเพื่อนฝูงของเขารวมทรัพย์สินของเขาไปช่วยเหลือเด็กน้อย ไปช่วยคนทุกข์คนยาก เห็นไหม เขาคิดแต่เรื่องดีๆ ไง เขาเป็นมนุษย์นะ แต่เหมือนเทวดาเลย เอาสิ่งของไปชักจูงเด็กๆ เด็กๆ ที่มันขาดแคลนนะ คนไม่มีรองเท้าทั้งชีวิตได้รองเท้าคู่หนึ่ง โอ้โฮ! มันเหมือนขึ้นสวรรค์เลย

นี่ไง ผู้ใหญ่ใจดีเขาทำน่ะ มนุสสเทโว ร่างกายเป็นมนุษย์แต่หัวใจเขาเป็นเทวดา นี่มันเป็นได้ทั้งสิ้น แต่เวลามันเป็นเปรต เวลาเป็นเปรตมันเหยียบย่ำทำลายของเรา เพราะเปรตมันไม่กล้าบอกใครนะ เปรตอยู่ในหัวใจดิ้นพราดๆๆ อยู่นี่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ศีล สมาธิ ปัญญา

เรามาทำบุญกุศลมากน้อยขนาดไหน ไปวัดไปวากัน ฟังธรรมๆ ฟังธรรมขึ้นมาเพื่อตอกย้ำ ความลังเลสงสัย ฟังธรรมแล้วมันสว่างกระจ่างแจ้ง คำว่า สว่างกระจ่างแจ้ง” คือความสงสัย ความเห็นต่างๆ มันวางได้ มันหลุดไป

พอมันหลุดไป ความสว่างกระจ่างแจ้งเหมือนแสงไฟนั้นเรื่องหนึ่ง ความสว่างกระจ่างแจ้งของหัวใจที่มันไม่มีสิ่งใดกดบีบคั้นหัวใจ มันหายความตึงเครียด นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วเวลาคนที่ทำความสงบของใจเข้าไป เวลาจิตมันสงบเข้ามา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

นี่โดยพื้นฐาน โดยพื้นฐานของการประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำสมาธิขึ้นมา สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน แล้วถ้าฐานที่ตั้งแห่งการงานมันเป็นอิสระ ไม่โดนจริตนิสัย โดนทัศนคติ โดนการวิเคราะห์วิจัยของกิเลสมันพาไป เวลามันพาไป ไปวิปัสสนาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไอ้นี่นอกพระไตรปิฎกหมดล่ะ ถ้าถูกใจ ถูก ถ้าไม่ถูกใจ ผิด

ถูกหรือผิดในหัวใจ นั่นน่ะกามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค

มัชฌิมาปฏิปทามันอยู่ที่ความจริงถูกต้องชอบธรรม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ตรัสรู้ธรรมโดยชอบๆ

เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตรัสรู้ธรรมๆ ตรัสรู้ธรรมโดยกิเลส กูตรัสรู้ไง

เวลาตรัสรู้ธรรมนะ เวลาหลวงตาท่านสอนไง เวลาพิจารณาไปนะ กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ กายแยกออกไปส่วนหนึ่ง จิตแยกออกไปส่วนหนึ่ง ทุกข์แยกออกไปส่วนหนึ่ง แล้วมันเหลืออะไรล่ะ

แต่ถ้าเป็นกิเลสนะ กูแน่ กูเก่ง กูรู้ แล้วกลัวไม่รู้ด้วยนะ จดบันทึกๆ กลัวไม่ได้ทำประวัติ จดบันทึกเลย มึงติดขนาดนั้นมันจะเป็นธรรมะอะไรของมึงวะ

เวลาเป็นสัจจะความจริงมันเกิดขึ้น กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แยกออกหมด แล้วมันเหลืออะไรล่ะ เหลืออะไร มันเหลืออะไร มันพลิกฟ้าคว่ำดินในหัวใจมันเป็นอะไร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่สิ่งที่เป็นสัจธรรมนี้มันต้องอยู่ที่หัวใจที่มีอำนาจวาสนา เวลาหัวใจที่มีอำนาจวาสนาแล้วมันไม่สงสัยเรื่องอย่างนี้ไง

ของเรา พวกเราไส้เดือน กิ้งกือ ตุ๊กแก แล้วก็อยากจะบรรลุธรรมๆ ไส้เดือน ตุ๊กแกมันจะไปรู้อะไร มันก็วิตกวิจารณ์ “อ๋อ! นี่บรรลุธรรมๆ” มันเป็นสมมุติไง สมมุติบัญญัติแบบโลกๆ แล้วสมมุติบัญญัติแบบโลกๆ เห็นไหม

ในสังคมนะ เขาบอกว่า ถ้าเป็นเพื่อนรักกัน ห้ามคุยกัน ๒ เรื่อง หนึ่ง การเมืองกับศาสนา

เวลาเรื่องศาสนามันพลิกมันแพลง มันปลิ้นมันปล้อน มันจะเอาชนะคะคานกัน

เพื่อนรักกันเขาไม่ให้คุยกัน ๒ เรื่อง การเมืองกับศาสนา

เรื่องศาสนา เรื่องบรรลุธรรมๆ ทุกคน สองคนบรรลุธรรมทั้งคู่เลย แล้วมันเถียงกัน แล้วไม่รู้ใครบรรลุจริงบรรลุปลอมนั่นน่ะ

ถึงว่าต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน เวลาใจมันสงบนะ มันเป็นสุภาพบุรุษ เป็นสุภาพบุรุษเพราะอะไร เพราะมันรู้ว่าใจมันสงบ ถ้าใจสงบแล้วมันมีความสุข สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี

เพราะว่าสัมมาสมาธิ คนที่อ่อนด้อย “นิพพานเป็นเช่นนี้เอง” มันคิดว่านี่เป็นนิพพาน คือความว่าง ความสุข แต่ความจริงไม่ใช่ ความจริงมันเป็นสามัญสำนึกของจิต จิตของคนมีคุณสมบัติอย่างนั้น จิตที่มันสงบระงับเป็นอิสระ มันจะมีคุณสมบัติเป็นสัมมาสมาธิที่มีความสุขมาก ความสุขมากก็เลยติดสุข หลงในสุขนั้น เข้าใจผิดในสุขนั้น เข้าใจในตัวตนของตน ทั้งๆ ที่จิตเป็นของเรานะ

จิตนี้เป็นของเรา จิตนี้เป็นเราเพราะจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าไม่มีจิต ไม่มีธาตุรู้ เป็นมนุษย์ไม่ได้ เป็นสิ่งมีชีวิตไม่ได้ สิ่งที่เป็นสิ่งมีชีวิตไม่ได้ แล้วตัวมันเองมีคุณสมบัติอย่างนั้น แต่ตัวมันเองมันสร้างเวรสร้างกรรมของมันขึ้นมา มันมีการครอบงำโดยอวิชชา โดยความไม่รู้ในมันเอง มันถึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมันมีบุญกุศลได้มาเกิดเป็นมนุษย์ไง

แล้วเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรมมันเป็นสัจธรรมนะ ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ไง แต่ของเรากิเลสเป็นธรรมชาติไง กิเลสเป็นธรรมชาติมันพลิกมันแพลง มันจะเอารัดเอาเปรียบเขาไง เอารัดเอาเปรียบแม้แต่ในทฤษฎีนะ ในตำราของพระพุทธเจ้านะ มันจะเอารัดเอาเปรียบ เวลาสอบนะ ต้องถูกๆๆ...ผิดหมดน่ะ

ถ้ามันถูกจริงนะ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก นี่สัจจะความจริงเป็นอย่างนั้น

ฉะนั้น เวลาเราไปวัดไปวาขึ้นมาเพื่อเหตุนี้ไง ถ้าเพื่อเหตุนี้ มันอยู่วุฒิภาวะของหัวใจนะ หัวใจที่มันสูงที่มันต่ำ หัวใจที่มันสูงส่งนะ ความดีที่ละเอียดลึกซึ้ง เห็นไหม แค่นั่งเฉยๆ มันก็เป็นบุญกุศลแล้ว

เวลาเราพูดกันทางธรรม ไปวัดไปวามีแต่เสีย มีแต่ไม่ได้สิ่งใดๆ มาเลย

การไปวัดไปวา การเสียสละ เสียสละวัตถุนั่นน่ะมันเป็นเรื่องเริ่มต้นจากสิ่งที่เป็นบุคลาธิษฐานที่มันจับต้องได้

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ การให้ทานๆ บุญกุศล แม้แต่หลีกทางให้กันน่ะ

ในกรุงเทพฯ ที่มันปาดหน้าๆ กัน เราให้เขาไปก่อน ให้เขาไปก่อน แต่มันรับกันไม่ได้ไง มันรับกันไม่ได้แล้วมันเสียนิสัย มันทำให้สังคมกระทบกระเทือนกันไปหมดน่ะ แต่ถ้าคนมีวินัย คนทุกคนก็ปรารถนาจะไปทั้งนั้นน่ะ แต่เราจะไปก่อนไปหลังมันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคนนั่นน่ะ ถ้ามันเป็นไปได้นะ

สิ่งที่เราให้เกียรติกัน เราเห็นมนุษย์เป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ นั่นก็เป็นบุญ เป็นบุญตรงไหน เป็นบุญที่ว่าหัวใจนี้มันไม่หวั่นไหวไง แต่ถ้าเราเห็นมันสูงมันต่ำขึ้นมา มันยกตัวมันขึ้นมา แล้วมันเป็นทุกข์ไง ทุกข์ว่า มึงไม่รู้จักหรือว่าพ่อกูชื่ออะไร

อู้ฮู! เวรกรรม

มันทุกข์ตรงนั้นน่ะ กลัวเขาจะไม่รู้ แต่มึงก็ยังไม่รู้ แต่ถ้ามันเห็นคนมันเสมอคนนะ พ่อแม่เราอยู่บ้าน ตอนนี้เราออกมาทำหน้าที่การงานของเรา เรามีสติสัมปชัญญะของเรา แล้วมันไม่ทุกข์ มันไม่ทุกข์ไม่ยาก ไม่ต้องการว่า มองหน้ากูทำไม มึงรู้ไหมว่าพ่อแม่กูชื่ออะไร ไอ้นี่คือทิฏฐิมานะ คิดว่าตนยิ่งใหญ่ มันไร้สาระ มันเลยทุกข์ยากไง ทุกข์ยากมันต้องแบกรับ แบกรับเกียรติศักดิ์อันนี้ไปไง

แต่ถ้ามันเป็นมนุษย์ เออ! เขาก็คน เราก็คนเนาะ คนเหมือนกัน เราเสมอกัน มีสิ่งใด ถ้าเขามีความรีบด่วนให้เขาไปก่อน ไปเถอะ ไม่เป็นไร นี่ถ้ามันรักษาใจ นี่ไง บุญอยู่ตรงนี้ไง บุญอยู่ตรงที่หัวใจมันไม่ทุกข์ไม่ยาก

หัวใจที่มันจะทุกข์จะยากเพราะมันบีบคั้นตัวมันเองไง พอมันบีบคั้นตัวมันเอง มันพยายามยกมันให้สูงขึ้นไง แล้วก็เหนื่อยมาก เหนื่อยมาก ทุกข์มาก แต่ถ้ามันไม่มีตัวตน ไม่มีความเหน็ดเหนื่อย ไม่มีสิ่งใดเลย ยิ้มแย้มแจ่มใส จะไปไหนก็ได้ เชิญตามสบาย

หลวงตาท่านสอนนะ ใครจะดีใครจะชั่วเรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเรา

แล้วเราไปทำของเรา บุญกุศลมันอยู่ตรงนี้ บุญคือการทำบุญกุศลทิ้งเหว ไม่ต้องให้ใครมารับรู้ ไม่ต้องให้ใครจดบันทึกไว้ ไม่ต้อง เราทำของเรา ทำของเราเพื่อหัวใจดวงนี้ ให้หัวใจดวงนี้ไม่มีแรงกดดันในใจ แล้วมีความสุขในใจดวงนี้ เอวัง